รัฐบาลไทยได้ดำเนินการทบทวนมาตรการภาษีเกี่ยวกับรถยนต์โบราณ เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์และสนับสนุนวัฒนธรรมยานยนต์คลาสสิก โดยมุ่งเน้นไปที่ประเภทของรถยนต์ รวมถึงการกำหนดอัตราภาษีที่เหมาะสม การยกเว้นอากรศุลกากร และเงื่อนไขในการคืนภาษีสำหรับรถยนต์ที่นำเข้าและส่งออก นอกจากนี้ มาตรการดังกล่าวยังครอบคลุมถึงรถยนต์ที่ใช้เพื่อการขนส่งบุคคลเป็นหลัก เช่น รถยนต์นั่งและสเตชั่นแวกอน

รายละเอียดการทบทวนมาตรการภาษีรถยนต์โบราณ

เมื่อไม่นานมานี้ ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จัดขึ้นโดยมีน.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ ในฐานะรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการทบทวนมาตรการภาษีรถยนต์โบราณ ซึ่งเดิมทีได้รับการอนุมัติในปี พ.ศ. 2567 มาตรการใหม่ได้มีการปรับเปลี่ยนหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับประเภทของรถยนต์ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการภาษีได้ เช่น รถยนต์นั่ง รถยนต์โดยสารไม่เกิน 10 คน และรถแข่ง แต่ไม่รวมรถกระบะ นอกจากนี้ มาตรการยังกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรสำหรับรถยนต์โบราณอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป โดยแบ่งเป็นสองประเภท อายุ 30-100 ปี และอายุเกิน 100 ปี ซึ่งถือเป็นวัตถุโบราณชนิดหนึ่ง

นอกจากนี้ มาตรการยังกำหนดให้รถยนต์โบราณที่นำเข้าแบบสำเร็จรูปทั้งคันจะได้รับการยกเว้นอากรศุลกากรขาเข้า พร้อมทั้งมีเอกสารยืนยัน ส่วนอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์โบราณจะอยู่ที่ 45% ของราคาขายปลีก โดยรถยนต์ต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท และอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี หากรถยนต์โบราณที่นำเข้ามาได้รับการบูรณะภายในประเทศและส่งออกภายในระยะเวลา 2 ปี จะมีสิทธิ์ได้รับเงินคืนภาษีสรรพสามิตเต็มจำนวน

จากมาตรการดังกล่าว ทำให้ผู้ที่สนใจรถยนต์โบราณมีโอกาสได้รับประโยชน์ทางภาษีมากขึ้น และยังส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคธุรกิจยานยนต์คลาสสิก

การทบทวนมาตรการภาษีสำหรับรถยนต์โบราณสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและการพัฒนาเศรษฐกิจ นโยบายดังกล่าวไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถครอบครองรถยนต์โบราณในราคาที่เหมาะสมขึ้น แต่ยังช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบูรณะและซ่อมบำรุงยานยนต์คลาสสิกอีกด้วย